วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

กิิจกรรมที่ 3

ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
     คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยในทุก ๆ สาขาวิชา ดังนั้นโครงงานคอมพิวเตอร์จึงมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ทั้งในลักษณะของเนื้อหา กิจกรรม และลักษณะของประโยชน์หรือผลงานที่ได้ ซึ่งอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภท คือ

     1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
     2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
     3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
     4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน (Application)
     5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)



1.โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)

     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียน หรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่ม การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยนี้ ถือว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ไม่ใช่เป็นครูผู้สอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบ Online ให้นักเรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้
     โครงงานประเภทนี้สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาคอมพิวเตอร์ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคม วิชาชีพอื่น ๆ ฯลฯ โดยนักเรียนอาจคัดเลือกหัวข้อที่นักเรียนทั่วไปที่ทำความเข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาโปรแกรมบทเรียน ตัวอย่างเช่น โปรแกรมสอนวิธีการใช้งาน ระบบสุริยะจักรวาล โปรแกรมแบบทดสอบวิชาต่าง ๆ

2.โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
         
     เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือมาใช้ช่วยสร้างงานประยุกต์ต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นในรูปซอฟต์แวร์ ตัวอย่างของเครื่องมือช่วยงาน เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน ซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ เป็นต้น สำหรับซอฟต์แวร์เพื่อการพิมพ์งานนั้นสร้างขึ้นเป็นโปรแกรมประมวลผลภาษา ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราใช้งานในงานพิมพ์ต่าง ๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปได้โดยง่าย ซึ่งรูปที่ได้สามารถนำไปใช้งานต่าง ๆ ได้มากมาย สำหรับซอฟต์แวร์ช่วยในการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ ใช้สำหรับช่วยในการออกแบบสิ่งของต่าง ๆ เช่น โปรแกรมประเภท 3D
         
3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
 
     เป็นโครงงานใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองการทดลองของสาขาต่าง ๆ เป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริงและแนวความคิดต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษา แล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสมการ สูตร หรือคำอธิบายก็ได้ พร้อมทั้งนำเสนอวิธีการจำลองทฤษฎีด้วยคอมพิวเตอร์ การทำโครงงานประเภทนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้เรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่าง เช่น การทดลองเรื่องการไหลของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาอโรวาน่า ทฤษฎีการแบ่งแยกดีเอ็นเอ เป็นต้น
 
4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน(Application)

     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี ซอฟต์แวร์สำหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้น ๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนี้นักเรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจใช้วิธีทางวิศวกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการพัฒนาด้วย

5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)
         
     เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อความรู้ และ/หรือ ความเพลิดเพลิน เช่น เกมหมากรุก เกมหมากฮอส เกมการคำนวณเลข ซึ่งเกมที่พัฒนาขึ้นนี้น่าจะเน้นให้เป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึกคิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมีการออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจเก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้สอดแทรกไปด้วย ผู้พัฒนาควรจะได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปและนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้ป็นเกมที่แปลกใหม่ และน่าสนใจแก่ผู้เล่นกลุ่มต่าง ๆ

กิจกรรมที่2



โครงงานคอมพิวเตอร์ 
              หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเีรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

ความสำคัญของโครงงานคอมพิวเตอร์

โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1.ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถที่เกิดจากการที่นักเรียนเป็นผู้ทำโครงงานต้องนำเสนอผลงานให้ ครูและเพื่อนนักเรียนให้เข้าใจโครงงานคอมพิวเตอร์ได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ผู้ทำโครงงานต้องสื่อสารความคิดในการสร้างสรรค์โครงงานด้วยการเขียน หรือด้วยปากเปล่า รวมทั้งเลือกใช้รูปแบบของสื่ออย่างมีประสิทธิภาพเพื่อนำเสนอแนวคิดในการจัด โครงงานให้ผู้อื่นได้เข้าใจ
2.ความสามารถในการคิด ซึ่งผู้เรียนจะมีการคิดในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
  1. การคิดวิเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องวิเคราะห์ปัญหาและแยกแยะสาเหตุว่าเกิดเนื่องจากอะไร
  1.  การคิดสังเคราะห์ เกิดจากการที่ผู้เรียนต้องนำความรู้ต่าง ๆ ที่เรียนมา รวมทั้งความรู้จากการค้นหาข้อมูล เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือการสร้างสรรค์โครงงาน
  1. การคิดอย่างสร้างสรรค์ เกิดจากการที่ผู้เรียนนำความรู้มาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ
  1. การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เกิดจากการที่ผู้เรียนได้มีการคิดไตร่ตรองว่าควรทำโครงงานใดและไม่ควรทำโครง งานใด เนื่องจากโครงงานที่สร้างขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม เช่น โครงงานระบบคำนวณเลขหวย สำหรับหาเลขที่คาดว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลจะออกในแต่ละงวด อาจส่งผลกระทบต่อสังคม ทำให้คนในสังคมเกิดความหมกมุ่นในกับการใช้เงินเล่นหวยมากขึ้น
  1. การคิดอย่างเป็นระบบ เกิดจากการที่ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน โดยใช้ขั้นตอนในการพัฒนาโครงงาน คือ ผู้เรียนเป็นผู้วางแผนในการศึกษา ค้นคว้า เก็บรวบรวมข้อมูล พัฒนา หรือประดิษฐ์คิดค้นผลงาน รวมทั้งการสรุปผลและการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยมีผู้สอนและผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ให้คำปรึกษา
3.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เกิดจากการที่ผู้เรียนได้นำความรู้และกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการพัฒนาโครงงาน และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการพัฒนาโครงงาน ก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง อันนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต
4.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เกิดจากการที่ผู้เรียนสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการแก้ปัญหาได้ อย่างถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม

ความสำคัญของการทำโครงงานคอมพิวเตอร์
5.ความสามารถในการแก้ปัญหา เกิดจากการที่ผู้เรียนวิเคราะห์ปัญหา เข้าใจ และอธิบายปัญหาทางด้านคอมพิวเตอร์ รวมทั้งประยุกต์ความรู้ ทักษะ และการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหา

วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กิจกรรมที่1 คลังความรู้คลังข้อสอบ


                     ถ้าอยากสอบเข้าวิศวกรรมก็ต้องสอบpat 3เราพะpat 3คือ "ความถนัดทางวิศวกรรม"
แหม แหม ชื่อวิชาก็บอกอยู่แล้วว่า “ความถนัดทางวิศวกรรม” ก็ต้องใช้วัดความรู้พื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างแน่นอน  pat 3 สำคัญมากต่อการยื่นรับตรงในบางคณะ เช่น  วิศวะโยธา เป็นต้น  เนื้อหาpat 3 หลายๆ คนอาจจะคิดว่า มีเพียงแค่ “ฟิสิกส์” “เคมี” และ “คณิตศาสตร์” เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเรียนเพิ่มเติมก็ได้ แค่หาโจทย์ข้อสอบเก่าๆมาทำก็เพียงพอ หัวข้อก็เกี่ยวกับ

“การเขียนแบบ”

                   การเขียนแบบทางวิศวกรรมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับวิศวกร เนื่องจากวิศวกรในฐานะเป็นผู้ออกแบบจำเป็นจะต้องนำสิ่งที่ตนเองคิดอยู่ในสมองสร้างออกมาเป็นภาพเพื่อใช้สื่อสารกับผู้อื่นโดยปกติภาคที่สร้างออกมาครั้งแรกจากความคิดที่เกิดขึ้นในสมองนั้น จะเป็น “ภาพสเก็ตซ์” เสียก่อน จากนั้นเมื่อเกิดความมั่นใจจึงนำความรู้ในการเขียนแบบทางวิศวกรรมมาใช้ เพื่อใช้เขียนภาพออกมาให้ถูกต้องตามหลักมาตรฐานสากล พร้อมที่จะนำเข้าสู่การผลิตต่อไป
ตัวอย่างโจทย์ข้อสอบ “การเขียนแบบ”
ข้อใดเป็นวัตถุที่สอดคล้องกับภาพฉายที่กำหนดให้ (PAT3 มีนา ‘55)



“หัวข้อทางวิศวกรรม”



         เป็นการวัดความรู้เฉพาะทางของวิศวะในแขนงต่างๆ เช่น วิศวกรรมคอมพิวเตอร์, วิศวกรรมเครื่องกล, วิศวกรรมอุตสาหการ, วิศวกรรมการสื่อสาร, วิศวกรรมระบบควบคุม เป็นต้น ตลอดจนการวัดพื้นฐานความรู้ด้านจรรยาบรรณ และการได้รับใบประกอบวิชาชีพการมีความรู้เนื้อหาในส่วนนี้ จะเป็นประโยชน์ทั้งกับการสอบ PAT 3 และยังเป็นพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเรียนวิศวะในระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วยโหหหห แค่อ่านมาก็น่าสนใจแล้ว ทั้งเนื้อหาที่น่าสนใจ ทั้งต้องเตรียมตัวสอบ ทั้งเป็นพื้นฐานในการเรียนในมหาวิทยาลัย แต่เนื้อหา “การเขียนแบบ และหัวข้อทางวิศวกรรม” 
จาก : http://www.webythebrain.com/article/pat3-part-drawing-and-topic-engineering

"ข้อสอบ"



Pat3 ต.ค. 59 from รวมข้อสอบ gat pat 9 วิชา
จาก :https://www.slideshare.net/9gatpat/pat3-59-73006604

รวมมิตรข้อสอบ : https://sites.google.com/site/kensewenz/examinationandsolution
ความรู้เพิ่มเติม

                                      จาก : https://www.youtube.com/watch?v=KwIc8BXTqLk


                                       จาก : https://www.youtube.com/watch?v=rkuX6e88ZTg













วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ใบงานที่4

การยกล้อ(รถมีคาส)
       มาเริ่มกันเลยครับ สำหรับพื้นฐานของการยกล้อหน้า ส่วนมากจะเริ่มฝึกกันในท่านั่งยก ซึ่งถือเป็นท่าที่เบสิกที่สุด 
แต่ท่านี้จะเป็นพื้นฐานให้ฝึกต่อไปยังท่าอื่นได้อีกหลายท่าครับ สำหรับขั้นตอนมีดังนี้

1. กำคลัช เข้าเกียร์ 1 แล้วปล่อยให้รถไหลไปอย่างช้าๆ  (ยิ่งช้า ยิ่งยกง่ายขึ้น)

2. หาจังหวะที่รถมีความสมดุล ไม่เอียงซ้าย เอียงขวา ให้เปิดรอบเครื่อง (เบิ้ล)พอประมาณค้างไว้ แล้วก็ปล่อยคลัช จะทำให้ล้อหน้ายกขึ้นมาจากพื้น
ส่วนความสูงล้อกับพื้นนั้นขึ้นอยู่กับรอบเครื่องที่เราเปิด สำหรับการฝึกแรกๆ ควรเปิดรอบเครื่องต่ำๆก่อน แล้วจึงค่อยเพิ่มรอบไปเรื่อยๆ 

3. พอล้อหน้าเริ่มสูงจากพื้น ให้เติมคันเร่งไปเรื่อยเพื่อเพิ่มความสูงของล้อหน้า ถ้าหากรู้สึกว่า "เหว่อ" หรือว่าล้อหน้ามันสูงเกินไปแล้ว
ให้เหยียบเบรคหลังเบาๆ จะทำให้ล้อหน้าต่ำลง แล้วทำการเติมคันเร่งสลับกับเหยียบเบรค ไปเรื่อยๆ   
จุดสำคัญก็คือว่า
ห้ามเอาเท้าขวาออกจากเบรคเป็นอันขาด เพราะ เบรกหลังเป็นตัวที่ช่วยให้ล้อตกลงพื้น ถ้าหากเท้าหลุดจากเบรค รถอาจจะสูงเกินไป
ทำให้ล้มได้ครับ สรุปคือ เท้าห้ามหลุด และก็เติมคันเร่ง สลับกับเบรค ไปเรื่อยๆ

เทคนิคนิดหน่อยนะครับ
1 ปล่อยลมยางออกเล็กน้อย เพื่อเพิ่มหน้าสัมผัสของยางกับพื้น
2 ในขณะยก พยายามบังคบรถให้ตรง ถ้าหากรถเอียงซ้าย ให้เราถ่ายน้ำหนักไปทางขวา โดยการขยับตูดไปทางขวานั้นเอง
3 ควรปรับระยะคลัชให้สูงกว่าปกติ ใช้สองนิ้วกดคลัช ไม่ควรกำหมดทั้งสี่นิ้ว เพื่อจะได้มีแรงประคองรถ
4 ตั้งรอบเดินเบาไว้ที่ประมาณ 3000 rpm 
5 ถ้าจะให้ดี ทดสเตอร์หลังให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย จะทำให้ยกได้ง่ายกว่าเดิม
6 โช๊คอัพหลัง ปรับให้แข็งเข้าไว้ครับ แล้วมันจะเล่นได้ง่ายขึ้น

ที่มา : http://www.cbr150club.com/board/index.php?topic=13868.0
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=Mt8lx_wlPjI

ทฤษฎีการยกล้อความรู้ทางวิทยาศาสตร์

ความรู้ทางฟิสิกส์ในการคำนวนความสมดุลขององศาการยกของรถภ

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ใบงานที่3 พรบ.คอมพิวเตอร์ 2560

พ.ร.บ.คอม 60
https://www.marketingoops.com/news/viral-update/computer-law/


1. การฝากร้านใน Facebook, IG ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
2. ส่ง SMS โฆษณา โดยไม่รับความยินยอม ให้ผู้รับสามารถปฏิเสธข้อมูลนั้นได้ ไม่เช่นนั้นถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
3. ส่ง Email ขายของ ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
4. กด Like ได้ไม่ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ยกเว้นการกดไลค์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบัน เสี่ยงเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 หรือมีความผิดร่วม
5. กด Share ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ โดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3
6. พบข้อมูลผิดกฎหมายอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของคอมพิวเตอร์กระทำเอง สามารถแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ หากแจ้งแล้วลบข้อมูลออกเจ้าของก็จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่น ความเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ที่ให้แสดงความคิดเห็น หากพบว่าการแสดงความเห็นผิดกฎหมาย เมื่อแจ้งไปที่หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อลบได้ทันที เจ้าของระบบเว็บไซต์จะไม่มีความผิด
7.สำหรับ แอดมินเพจ ที่เปิดให้มีการแสดงความเห็น เมื่อพบข้อความที่ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ เมื่อลบออกจากพื้นที่ที่ตนดูแลแล้ว จะถือเป็นผู้พ้นผิด
8. ไม่โพสต์สิ่งลามกอนาจาร ที่ทำให้เกิดการเผยแพร่สู่ประชาชนได้
9. การโพสเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน ต้องปิดบังใบหน้า ยกเว้นเมื่อเป็นการเชิดชู ชื่นชม อย่างให้เกียรติ
10. การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต ต้องไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียเชื่อเสียง หรือถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ญาติสามารถฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย
11. การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น มีกฏหมายอาญาอยู่แล้ว ไม่มีข้อมูลจริง หรือถูกตัดต่อ ผู้ถูกกล่าวหา เอาผิดผู้โพสต์ได้ และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท
12. ไม่ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้ใด ไม่ว่าข้อความ เพลง รูปภาพ หรือวิดีโอ
13. ส่งรูปภาพแชร์ของผู้อื่น เช่น สวัสดี อวยพร ไม่ผิด ถ้าไม่เอาภาพไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หารายได้
      ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=0EuDmSajk8c

ฉบับเต็ม
https://ictlawcenter.etda.or.th/files/law/file/80/59100b296f08176ad3bd2c1615489253.pdf

ใบงานที่2 Blog


Blog คืออะไร?

บล็อก (Blog) คือเว็บไซด์รูปแบบหนึ่ง ที่มีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับการเขียนไดอารี่ หรือ บันทึกส่วนตัว ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากเราใช้ฟรี ไม่ต้องเสียเงิน
- คำว่า "Blog" มาจากคำเต็มว่า "Weblog" (ตัด We ทิ้ง คงเหลือแต่ blog) ซึ่งโดยนัยแล้วหมายถึง การบันทึกข้อมูล(Log) บน เว็บ(Web) นั่นเอง 
- โดยผู้ที่เขียนบล๊อกเป็นอาชีพ จะถูกเรียกกันว่า "บล็อกเกอร์" (Blogger
- จุดเด่นที่สำคัญของ Blog คือ จะมีระบบที่ผู้อ่านและผู้เขียนสามารถแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันได้ โดยผ่านทางระบบ Comment ของบล๊อก

Blog ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
ทำBlog เป็นเว็บไซด์ส่วนตัว เพื่อแชร์ข้อมูลส่วนตัวให้กับผู้อื่นๆ เช่น บันทึกไดอารี่ 
เขียนBlog เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ นำเสนอสิ่งที่ตนเองรู้ หรือสิ่งที่ตนเองสนใจ เพื่อแบ่งปันให้กับผู้อื่น
สร้างBlog ทำเป็นเว็บไซด์เพื่อใช้ในการโปรโมทธุรกิจ ร้านค้า บริการต่างๆ
ใช้Blog ในการทำธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ (E-Commerce)

ข้อดีและข้อเสียของ Blog : 
ข้อดี
- มีอิสระที่จะนำเสนอสิ่งต่างๆ (ที่ไม่ไปก้าวล่วงบุคคลอื่น และไม่ผิดกฎกติกาของผู้ให้บริการ Blog)
- เปิดโอกาสให้เจ้าของ Blog ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้เข้าชมและโต้ตอบกลับได้อย่างอิสระ
- ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านภาษาโปรแกรมต่างๆ 
- หากพอมีความรู้ด้านภาษาเว็บพื้นฐาน (HTML) จะสามารถช่วยทำให้เข้าไปแก้ไข Source Code ได้
เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบ Template ของ Blog ตามต้องการ
- สามารถใช้ Blog ในการทำธุรกิจหารายได้ จากการโปรโมทสินค้าหรือบริการ
- สามารถใช้สร้างเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ 
ใช้งานได้ฟรี!! ไม่เสียค่าใช้จ่าย (ยกเว้นต้องการจด Domain Name เป็น .com .net .org .info)
- มี Template ให้เลือกใช้มากมาย (ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน)
- Server มีความเสถียรสูง ปัญหาในด้านความช้า หรือ Server ล่ม พบน้อยมาก

ข้อเสีย
- ฟังก์ชั่นและลูกเล่นต่างๆ ยังมีน้อยหากเทียบกับเว็บไซด์ที่สร้างเองหรือเว็บไซด์สำเร็จรูป
- แม้มีรูปแบบ Template ให้เลือกใช้มากมายแต่โครงสร้างเว็บก็ยังคงค่อนข้างตายตัว
- เนื่องจากเป็นบริการให้ใช้ฟรี หากเราทำผิดกฎของผู้ให้บริการ Blog เราจะถูกแบน และมีโอกาส
ถูกลบ Blog ได้ (แต่ถ้าไม่ได้ทำผิดกฎอะไร ก็อยู่ได้อย่างยาวนานจนกว่าผู้บริการจะเลิกให้บริการ)





วิธีการการสร้างบล็อก
1.        ให้ทำการสมัครบัญชีของ Gmail ของ google แต่ถ้าใครมีบัญชี Gmail อยู่แล้วก็ทำการล็อกอินเพื่อสร้างบล็อก ของ http://www.blogger.com/ ได้เลย ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อเราเข้าไปที่เว็บ www.blogger.com หน้าเพจแรกจะถามบัญชีถึงบัญชี Gmail ของผู้ที่จะทำการสร้างบล็อกสำหรับนักศึกษาที่มีบัญชี Gmail อยู่แล้ว ก็กรอกชื่อบัญชี Gmail และ รหัสผ่านของตน ดังภาพ 

หากใครยังไม่มีบัญชีให้คลิกที่เมนู Sign up เพื่อทำการสมัครบัญชี Gmail ใหม่
2. เมื่อเราเข้าไปที่ www.blogger.com ที่ได้ทำการล็อกอินบัญชีของ Gmail แล้ว หน้าแรกของbloggerมีหน้าตาดังภาพ ใคลิกไปที่เมนู บล็อกใหม่เพื่อทำการสร้างบล็อก
3. เมื่อเราคลิกไปที่เมนูเพื่อสร้างบล็อกใหม่แล้ว ให้ทำการกรอกรายละเอียดดังนี้ คือ ตรงหัวข้อ ให้พิมพ์ชื่อบล็อก ตรงที่อยู่ ให้ตั้งชื่อ URL ซึ่งควรใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษและตัวเลข และต้องดูตรงสถานะของบล็อกด้วยว่าชื่อ URL ที่ตั้งไปนั้นมีผู้ใช้แล้วหรือยังไม่มีผู้ใช้ มันจะแจ้งว่าที่อยู่บล็อกนี้สามารถใช้ได้เสร็จแล้วให้ทำการเลือกรูปแบบ จากแม่แบบว่าจะให้บล็อกมีหน้าตาในการแสดงผลเช่นไร เมื่อเลือกแล้วก็ คลิกเมนู สร้างบล็อก
   ที่มา ; http://www.jojho.com/2013/05/what-is-blog.html








วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

My First Blog

ABOUT ME

➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲➲

Hello. My name's Nattakit Weluwanaruk 
You can called me: Ex
I'm 17 years old
My favorite movie is Zombie
My birthday is 2 February 2000
Facebook: Nattakitt Welwanaruk
ID Line: you_gsmeover

   My favorite's    Cartoon

cartoon: High School DXD

cartoon: High school of the Dead
cartoon: อสูรรับใช้ของยาย 0 สนิท

cartoon: Blue exorcist

cartoon: Log Horizon
cartoon: Sword Art Online
cartoon: ภรรยาผมเป็นประธานนักเรียน
https://www.youtube.com/watch?v=SM91pG2ffNE

My Friend



My Family

My family have 4 people. 1 father  1 mater  1 uncle and me.
we art happy family .

My Faculty

                           >> วิศวกรรมโยธา <<

      วิศวกรรมโยธา เป็นอีก 1 สาขาของคณะวิศวกรรมศาสตร์ (ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Civil Engineering) วิศวกรรมโยธาเป็นอีกสาขาที่สำคัญของวิศวกรรมศาสตร์ โดยจะเรียนเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างทางโยธาในหลายรูปแบบ เช่น อาคาร สะพาน สนามบิน ท่าเรือ เขื่อน ถนน สัญญาณไฟจราจร รวมไปถึงการวิเคราะห์ทางธรณีและชลศาสตร์ และการบริหารจัดการการก่อสร้าง เรียนตั้งแต่การตรวจสอบว่ามีความจำเป็นว่าจะต้องมีสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นหรือไม่ วิธีวิเคราะห์และออกแบบสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น เรื่องสิ่งแวดล้อมรอบๆ สิ่งก่อสร้างด้วย นอกจากนี้ยังได้เรียนเกี่ยวกับการจัดการ การดำเนินการ และการบำรุงรักษาสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นด้วย

 
สาขานี้เรียนอะไร: วิศวกรรมโยธา

      วิชาที่จะเรียนใน วิศวกรรมโยธา ก็มีหลากหลายค่ะ อาทิเช่น    
- การเขียนแบบวิศวกรรม (Engineering Drawing )
- กลศาสตร์ของไหล (Fluid Mechanics)
- ปฏิบัติการวิศวกรรมโรงงาน (Engineering Workshop Practice)
- สถิติวิศวกรรม (Engineering Statistics)
- โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับวิศวกร (Computer Programming for Engineer)
- กำลังวัสดุ (Strength of Materials )
- การสำรวจ (Surveying)
- ธรณีวิทยาวิศวกรรม (Engineering Geology)
- วิศวกรรมชลศาสตร์ (Hydraulics Engineering)
- การวิเคราะห์โครงสร้าง (Structural Analysis)
- กลศาสตร์ดิน (Soil Mechanics)
- วิศวกรรมฐานราก (Foundation Engineering)
- อุทกวิทยา (Hydrology)
- วิศวกรรมการประปาและสุขาภิบาล (Water supply and Sanitary Engineering)
- วิศวกรรมการทาง (Highway Engineering)
- ระบบข้อมูลทางภูมิศาสตร์สำหรับวิศวกร (Geographic Information System for Engineers)
- การออกแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced Concrete Design)
- การออกแบบโครงสร้างเหล็กและไม้ (Steel and Timber Design)
- การออกแบบอาคาร (Building Design)
- การออกแบบโครงสร้างรับแรงแผ่นดินไหว (Seismic Design of Structures)
- ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของโครงสร้าง (Structural Safety and Reliability)
- วัสดุก่อสร้าง (Construction Materials)
- การจัดการและเทคนิคการก่อสร้าง (Construction Technique and Management)
- การประมาณและวิเคราะห์ราคา (Construction Cost Estimation and Analysis)
- เทคโนโลยีคอนกรีต (Concrete Technology)
- เทคโนโลยีแอสฟัลท์ (Asphalt Technology)
- โครงสร้างดิน (Earth Structures)
- ฐานรากแบบเสาเข็มและการปรับปรุงดิน (Pile Foundation and Soil Improvement)
- วิศวกรรมธรณีสิ่งแวดล้อม (Geoenvironmental Engineering)
- ชลศาสตร์ของน้ำใต้ดิน (Groundwater Hydraulics)
- วิศวกรรมทรัพยากรน้ำ (Water Resources Engineering)
- วิศวกรรมชลประทานและการระบายน้ำ (Irrigation and Drainage Engineering)
- โครงสร้างทางชลศาสตร์ (Hydraulic Structures)
- วิศวกรรมการขนส่ง (Transportation Engineering)
- การออกแบบผิวจราจร (Pavement Design)
- โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทางวิศวกรรมโยธา (Computer Softwares in Civil Engineering)
- งานโครงการวิศวกรรมโยธา (Civil Engineering Project)



สาขานี้เรียนอะไร: วิศวกรรมโยธา